ชีวิตที่ถูกตัดสินด้วยผลเลือด
 
“หนูเคยไปฟังการอบรมที่มีการเชิญบริษัทต่างๆมาพูดคุยเรื่องงาน จนพูดถึงเรื่องการรับเข้าทำงาน ทุกบริษัทยินดีรับคนที่เคยทำความผิดเข้าทำงาน แต่มีแค่ไม่กี่บริษัทที่ยินดีรับคนติดเชื้อเอชไอวีเข้าทำงาน แม้คนที่ติดเอชไอวีจะเรียนจบเกียรตินิยมหรือทำงานเก่งแค่ไหนก็ตาม โอกาสถูกตัดสินที่ผลเลือดแล้ว”

“ผมเคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์พอาหารในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมตั้งใจทำงานมาก จนที่ทำงานอยากให้ผมเป็นพนักงานประจำเลยให้ผมไปตรวจร่างกาย ผมลังเลมากว่าจะส่งผลตรวจดีไหม สุดท้ายตัดสินใจส่งผลตรวจให้บริษัท แล้วเค้าก็ให้ผมออกจากงานวันนั้นเลย”

“หนูเคยมีความฝันเหมือนคนอื่นๆ หนูอยากเป็นครู หนูตั้งใจเรียนมาก ได้คะแนนดี วางแผนว่าจะเรียนครู แต่พอญาติมาบอกว่าเป็นครูเค้าต้องตรวจร่างกายนะ เค้าไม่รับคนติดเชื้อเอชไอวีหรอก หนูก็เริ่มคิดว่าแล้วเราจะมีความฝันไปทำไม ในเมื่อเราถูกสังคมตัดสินไปแล้วจากผลเลือด แล้วหนูก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว”

นี้คือเสียงสะท้อนของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่ถูกสังคมตัดสิน ตีตรา และถูกเลือกปฏิบัติ โดนผลักออกให้เป็นคนนอกสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงเพราะผลเลือดที่แตกต่าง ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯต้องอยู่ในสภาวะจำยอม การถูกกระทำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 30 ปี และพัฒนาการทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯจะไปไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่ทัศนคติ ความคิดความเชื่อของผู้คนต่อเชื้อเอชไอวี/เอดส์ยังอยู่ที่เดิม ทั้งที่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกและไทยยืนยันว่าการติดเชื้อเอชไอวีสามารถเกิดได้เพียง 2 ทาง คือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และทางเลือด (ที่มา : กรมควบคุมโรค) จากการใช้เข็มฉีดยา(เสพติด)ร่วมกัน อีกทั้งในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ให้ผลการรักษาที่ดี ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพที่แข็งแรง และสามารถดำรงชีวิตหรือทำกิจกรรมต่างๆได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป สถานะการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการทำงานไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ถือเป็นวิกฤตร่วมกันคนทำงานทุกสาขาอาชีพ โดยกลุ่มแรงงาน และที่เป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯยิ่งได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เพราะการหางานที่ยากกว่าคนทั่วไปแล้ว การต้องมาตกงานอย่างไม่ทันตั้งตัว ย่อมส่งผลกระทบในเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่จำเป็น และยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปตรวจสุขภาพหรือรับยาต้านไวรัสอีกด้วย

มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทยได้รับการประสานจากมูลนิธิเครือข่ายเยาวชนลิตเติลเบิร์ด ขอความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่เยาวชนและผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯ จำนวน 13 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19  ซึ่งมูลนิธิเอดส์ฯให้ความช่วยเหลือ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแก่เยาวชนเป็นเวลา 1 เดือน จากโครงการ Emergency Fund โดยเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิเครือข่ายเยาวชนลิตเติลเบิร์ด ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ทำงานไปด้วย จึงทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากทางภาครัฐเพียงเพราะยังคงสถานะเป็นนักศึกษาอยู่ บางส่วนทำงานรับจ้างทั่วไปและถูกเลิกจ้างเป็นกลุ่มแรก และถึงแม้มูลนิธิฯจะมีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ ด้วยการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพื่อดูแลคนรอบข้าง และดูแลตัวเองให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

โอกาสนี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมบริจาคเงินสมทบทุนเข้า “กองทุนเด็กและผู้ได้รับผลกระทบฯ” เพื่อช่วยเหลือเยาวชนและผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อที่อยู่ในภาวะยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ที่บัญชี “มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทยเพื่อกองทุนเด็กและผู้ได้รับผลกระทบฯ” ธนาคารไทยพาณิชย์  สาขางามวงศ์วาน  เลขที่บัญชี 319-294711-6

และในช่วงเวลานี้ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย “ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ ด้วยการดูแลสุขภาพ ป้องกันตัวเองเมื่อออกไปในที่สาธารณะ และมีจิตใจที่เข้มแข็ง อีกไม่นานเราจะพิชิตโควิดได้อย่างแน่นอน”
 
ปรีดาพร 
20/02/2020
มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย